
ซิฟิลิส (Syphilis) เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีประวัติยาวนานและอันตราย หากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ระยะเริ่มต้น โรคนี้สามารถแทรกซ้อนลุกลามไปสู่ระบบประสาท หัวใจ และอวัยวะสำคัญอื่น ๆ ได้อย่างเงียบ ๆ จนบางรายถึงขั้นเสียชีวิตในที่สุด คำถามสำคัญที่หลายคนสงสัยคือ “ซิฟิลิส ติดทางไหน?” เข้าใจลึกเพื่อการป้องกันที่ถูกต้อง บทความนี้จะพาคุณไปสำรวจทุกแง่มุมเกี่ยวกับการติดต่อของโรคซิฟิลิส เพื่อให้คุณเข้าใจโรคนี้อย่างชัดเจน และป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ซิฟิลิสคืออะไร?
ซิฟิลิส (Syphilis) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่มีต้นกำเนิดมานานหลายศตวรรษ และยังคงเป็นหนึ่งในโรคที่สร้างความกังวลในระบบสาธารณสุขทั่วโลกจนถึงทุกวันนี้ แม้จะสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มต้น แต่ปัญหาใหญ่ที่สุดของโรคนี้กลับอยู่ที่ความเงียบของมัน โดยเฉพาะในระยะแรกที่ไม่มีอาการชัดเจน ทำให้ผู้ติดเชื้อจำนวนมากไม่รู้ตัวว่าเป็นพาหะ และยังคงใช้ชีวิตทางเพศสัมพันธ์ตามปกติ ส่งผลให้เชื้อแพร่กระจายสู่คนอื่นได้อย่างง่ายดาย
ซิฟิลิส ติดทางไหน ? การแพร่เชื้อที่คุณอาจไม่เคยรู้
วิธีการติดต่อของซิฟิลิสไม่ได้มีเพียงการมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่เท่านั้น ความเข้าใจแบบเดิม ๆ เช่น “มีเซ็กส์อย่างเดียวถึงติด” อาจทำให้คนจำนวนมากพลาดการป้องกันที่ถูกต้อง ซิฟิลิสสามารถติดได้ผ่านช่องทางต่อไปนี้
- การมีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่โดยไม่มีถุงยาง ไม่ว่าจะเป็นทางช่องคลอดหรือทางทวารหนัก
- การมีเพศสัมพันธ์ทางปาก โดยเฉพาะหากมีแผลหรือรอยถลอกในช่องปากหรืออวัยวะเพศ
- การสัมผัสแผลริมแข็งของผู้ติดเชื้อ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแม้ไม่มีการสอดใส่
- การใช้เซ็กส์ทอยร่วมกัน โดยไม่มีการทำความสะอาดหรือเปลี่ยนถุงยาง
- การคลอดจากแม่สู่ลูก ขณะทารกผ่านช่องคลอดที่มีเชื้อ
จะเห็นได้ว่าการติดเชื้อซิฟิลิสไม่ได้จำกัดเฉพาะ “เพศสัมพันธ์เต็มรูปแบบ” เท่านั้น แต่สามารถติดได้แม้เพียงจากการสัมผัสผิวหนังบริเวณที่มีเชื้อโดยตรง
อาการของซิฟิลิสแต่ละระยะ

เมื่อพูดถึงซิฟิลิส เราไม่สามารถละเลยเรื่องอาการของโรคในแต่ละระยะได้ เพราะอาการเหล่านี้มีความซับซ้อน และเปลี่ยนแปลงไปตามระยะเวลาในการติดเชื้อ
- ระยะที่ 1: จะมีลักษณะเป็นแผลเรียกว่า “แผลริมแข็ง” ที่มักปรากฏตรงจุดที่เชื้อเข้าสู่ร่างกาย เช่น อวัยวะเพศ ริมฝีปาก หรือทวารหนัก แผลนี้จะไม่เจ็บ ไม่คัน และหายได้เองภายในไม่กี่สัปดาห์
- ระยะที่ 2: ผู้ติดเชื้ออาจมีผื่นขึ้นทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต และรู้สึกเหนื่อยล้า
- ระยะแฝง: อาจกินเวลานานหลายปีโดยไม่มีอาการใด ๆ แสดงออกมา แต่เชื้อยังคงมีชีวิตอยู่ในร่างกาย
- ระยะที่ 3: เกิดการทำลายอวัยวะภายใน เช่น สมอง หัวใจ กระดูกตับ หรือดวงตา ส่งผลถึงชีวิตหากไม่ได้รักษา
ทำไมซิฟิลิสจึงติดต่อได้ง่าย ?
หนึ่งในคุณสมบัติของโรคซิฟิลิส คือ แผลในระยะแรกมักไม่เจ็บปวด ผู้ติดเชื้อหลายคนจึงไม่รู้ตัวและยังคงมีเพศสัมพันธ์ตามปกติ ซึ่งเป็นช่วงที่เชื้อมีความสามารถแพร่ได้มากที่สุด นอกจากนี้แผลริมแข็งของซิฟิลิสอาจอยู่ในจุดที่มองไม่เห็น เช่น ด้านในช่องคลอด ช่องทวารหนัก หรือใต้หนังหุ้มปลายอวัยวะเพศชาย ทำให้แม้แต่ผู้ที่ใส่ใจสุขภาพก็ยังอาจไม่ทันระวัง
ใครบ้างควรตรวจซิฟิลิส ?
แม้ไม่มีอาการ แต่คุณควรเข้ารับการตรวจซิฟิลิสหากคุณ
- มีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- มีคู่นอนหลายคน
- อยู่ในกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
- เคยติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มาก่อน
- มีแผลหรือผื่นที่น่าสงสัยบริเวณอวัยวะเพศ ปาก หรือฝ่ามือ
- กำลังตั้งครรภ์ (ควรตรวจตามคำแนะนำของแพทย์)
ซิฟิลิส รักษาหายได้หรือไม่ ?

ข่าวดี คือ ซิฟิลิสสามารถรักษาให้หายขาดได้หากตรวจพบและรักษาในระยะเริ่มต้น การรักษาหลักคือการฉีดยาเพนิซิลลิน (Penicillin G benzathine) หากแพ้ยาแพทย์อาจใช้ทางเลือกอื่น เช่น doxycycline หรือ azithromycin แต่หากปล่อยไว้นานจนเข้าสู่ระยะที่ 3 แม้จะรักษาได้บางส่วน แต่ความเสียหายที่เกิดกับอวัยวะต่าง ๆ อาจไม่สามารถฟื้นกลับได้
ซิฟิลิสกับความเสี่ยงในการติดเชื้อ HIV
งานวิจัยพบว่าผู้ที่ติดเชื้อซิฟิลิสมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี (HIV) มากขึ้นถึง 2–5 เท่า เนื่องจากแผลซิฟิลิสทำให้ผิวหนังหรือเยื่อบุชั้นในเปิดให้เชื้อไวรัสเข้าได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้กลุ่ม MSM หรือผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนักโดยไม่ป้องกัน ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงทั้งซิฟิลิสและ HIV พร้อมกัน ดังนั้นการตรวจ STI และ HIV ควบคู่กันจึงเป็นแนวทางที่ควรทำเสมอในกลุ่มเสี่ยง
ซิฟิลิสไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือเรื่องสุขภาพ
ในอดีตซิฟิลิสเคยถูกตีตราว่าเป็น “โรคของคนสำส่อน” ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิดและอคติ ปัจจุบันเราควรมองซิฟิลิสในฐานะโรคติดต่อที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน ไม่ว่าจะมีเพศสัมพันธ์แบบใด หากขาดการป้องกัน การเข้ารับการตรวจรักษาไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่คือการดูแลตนเองและคนรอบข้างให้ปลอดภัย เมื่อคุณกล้าที่จะตรวจและรับรู้สถานะสุขภาพทางเพศของตนเอง คุณก็กล้าที่จะใช้ชีวิตอย่างมั่นใจ
ป้องกันซิฟิลิส อย่างไรให้ปลอดภัย ?

แม้จะไม่มีวัคซีนป้องกันโรคซิฟิลิส แต่คุณสามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยการ
- ใช้ถุงยางอนามัยอย่างถูกต้องทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์
- หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนคู่นอน
- หลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์หากมีแผลหรือผื่นบริเวณอวัยวะเพศหรือปาก
- ไม่ใช้เซ็กส์ทอยร่วมกัน หรือทำความสะอาดหลังใช้ทันที
- ตรวจ STI เป็นประจำ
- เปิดใจพูดคุยเรื่องสุขภาพทางเพศกับคู่นอน
การรู้จักโรค รู้ทางติดเชื้อ และกล้าที่จะตรวจ คือวิธีป้องกันที่ดีที่สุด
อ่านบทความอื่น ๆ เพิ่มเติม
- วัคซีน HPV ไม่ได้มีแค่สำหรับผู้หญิง!
- ตรวจ HIV ราคา เท่าไหร่? อัปเดตปี 2025 ตรวจที่ไหนได้บ้าง และมีแบบฟรีหรือไม่?
ท้ายที่สุดแล้ว คำถามว่า “ซิฟิลิสติดทางไหน” ไม่ใช่เพียงแค่ข้อมูลที่ควรรู้เท่านั้น แต่คือหัวใจของการเข้าใจโรค และป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น การมีความรู้เรื่องโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง และกล้าที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ คือวิธีที่ดีที่สุดในการดูแลทั้งตนเองและคนรอบข้างให้ปลอดภัยจากซิฟิลิสและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ ในยุคปัจจุบันที่การเข้าถึงบริการทางการแพทย์มีความสะดวกมากขึ้นกว่าที่เคยเป็น